อวิชชา (๕) ความยึดมั่นถือมั่น
ขอทบทวนดูชีวิตของคนเราแต่ละวันว่า เราต้องคิด ต้องทำ ต้องนั่ง ต้องเดิน ต้องนอน ไปไหนมาไหน อาบน้ำ ล้างหน้า เข้าห้องน้ำ กินข้าว ต้องทำงานบ้าน งานนอกบ้าน ไปทำมาหากิน ต้องพูด ต้องคุย ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้ อวิชชาหรือความพอใจ ไม่พอใจ กำกับดูแลทั้งหมด น่ากลัว น่าใจหาย คนเราไม่มีโอกาสควบคุมตนเองได้เลย ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ นี่คือเหตุผลที่คนเราเกิดมาเป็นคน ความจริงแล้วเกิดมา เพื่อมาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้กับตัวเราเอง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เลย น่าเสียดายชีวิต และน่าเสียใจ เพราะเราไม่มีโอกาสแก้ไขตนเองได้ เสียเวลาที่เราเกิดมาเป็นคน
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็เป็นโอกาสจะแก้ไขตนเองได้ในวันนี้เท่านั้น เพราะวันพรุ่งนี้ เราจะมีโอกาสตื่นมากินข้าวเช้าหรือไม่ เราก็ไม่รู้ เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน เพราะมันไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง มันเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว แล้วก็แตกสลาย มันจะแตกสลายเมื่อใด มันไม่ได้บอกให้เรารู้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ควรมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ดังปัจฉิมโอวาทที่ตรัสไว้ว่า สิ่งใดมีเกิดขึ้น ย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ขอให้เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด คนเราประมาทที่ไหน ประมาทที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประมาทเพราะตามสิ่งที่มากระทบสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ทัน จึงไปหลงพอใจ ไม่พอใจ สิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ถ้าตามทันสิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง ก็ดับทุกข์ หรืออวิชชาได้ทันที
แต่อวิชชามันเปลี่ยนแปลงตัวมันไปหลายรูปแบบ เช่น เปลี่ยนเป็นความพอใจ ไม่พอใจ เปลี่ยนเป็นความรู้สึกนึกคิด เปลี่ยนเป็นชื่อ ตัวหนังสือ ถ้าเราไม่เข้าใจอวิชชาที่มันเปลี่ยนรูปแบบของมัน ไปอยู่ในสิ่งที่กล่าวมานี้ มันหลอกล่อให้เราหลงไปเอารูปแบบดังกล่าวไปทำซ้ำ โดยไม่รู้ว่ามันเป็นอวิชชา คนเราจึงเอาร่างทรงของอวิชชาไปใช้ดำเนินชีวิตของตนเอง จนเป็นวิถีชีวิตของอวิชชา น่าเสียใจ และน่าเสียดายเวลาของชีวิต ที่เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ เกิดมาไม่ได้อะไรเลยที่เป็นสิริมงคลของชีวิต ได้แต่ทุกข์เท่านั้นติดใจไปเกิดอีก ก็ทุกข์อีก หาที่สิ้นสุดไม่ได้
คนที่มีโอกาสเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลกตรัสรู้เองโดยชอบ จึงเป็นคนมีบุญวาสนาหาที่สุดไม่ได้ เพราะได้เอาพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน ไปปฏิบัติให้ตัวเองหนีไปจากอวิชชา หรือดับอวิชชาได้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าบอกทางให้ คนเราไม่มีโอกาสหนีรอดไปจากอวิชชาได้ ชาตินี้เรามีโอกาสศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ถือว่าโชคดีหาที่สุดไม่ได้
เมื่อเราโชคดีแล้ว เราต้องฝึกฝนตนเองให้ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้ายของการเวียนว่ายตายเกิด เราจะไม่เกิดอีก ให้ตั้งสัจจะไว้อย่างนี้ เพื่อเอาชนะพฤติกรรมความไม่รู้ของเรา ถ้าเอาชนะมันไม่ได้ ความไม่รู้ก็จะมอมเมาให้ตัวเราหลงตัวเราว่ามีตัวตน และทรัพย์สมบัติของเรามีตัวตน คนเราก็จะไปยึดมั่นถือมั่น เปรียบเสมือนตัวเราก็เป็นน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ไปหลงกอดทรัพย์สมบัติหรือน้ำแข็งก้อนหนึ่งเช่นกัน ในที่สุดก็จะไม่ได้อะไร มันละลายหายไปหมด ทั้งตัวเราและทรัพย์สมบัติ ไม่มีอะไรเหลือ นี่คือผลของอวิชชา ที่คนเราไปหลงยึดมั่นถือมั่น
ความยึดมั่นถือมั่น เป็นสุดยอดของอวิชชา ที่พัฒนามาอย่างแยบยลละเอียดลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก แก้ไขได้ยาก ฉะนั้น ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจอวิชชาเป็นลำดับไป จึงจะมองเห็นได้และแก้ไขได้ เราคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวของเราจะโง่ขนาดนี้ โง่จนไม่รู้อะไรใด ๆ เลย ทุกวันนี้คนเราทำตามความไม่รู้ทั้งหมด ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเราไม่รู้อะไร มองหาประโยชน์แท้ ประโยชน์เทียมของชีวิตไม่เห็นเลย นี่คือความหลงที่เราทำซ้ำในชีวิตของเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราเวียนว่ายตายเกิดมาด้วยอวิชชานี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วน
อวิชชา (๖) อนุสัยกิเลส
อวิชชา (๗) โหดร้ายต่อตัวเอง
อวิชชา (๘) ทางสายเอก