อวิชชา (๖) อนุสัยกิเลส

คนเราไปทำอะไรอยู่ทุกวันนี้ คำตอบ ไปทำตามความพอใจ ไม่พอใจหรืออวิชชา ไปพัฒนาอวิชชาที่ละเอียดลึกซึ้ง จนเป็นอนุสัยกิเลสให้กับตัวเอง อนุสัยกิเลสอันนี้ก็จะนอนเนื่องอยู่ในใจของคนเรา ติดตามตัวของเราไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าคนเราจะฝึกฝนตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงจะดับอนุสัยกิเลสเหล่านี้ได้ ดับการเวียนว่ายตายเกิดได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เกิดมาเป็นคนนั้นยากกว่าสิ่งที่พระองค์จะอุปมาให้ฟัง ดังนี้ว่า เต่าตาบอดตัวหนึ่ง เกิดในทะเลมหาสมุทร ๑๐๐ ปี โผล่น้ำมาครั้งหนึ่ง ให้เธอคนใดคนหนึ่ง ทำบ่วงเท่าหัวเต่าลอดได้ แล้วโยนบ่วงนั้นลงในทะเลมหาสมุทร ถ้าเต่าตาบอดตัวนั้น ๑๐๐ ปี โผล่น้ำมาครั้งหนึ่ง มาเจอกับบ่วงนั้นที่พวกเธอทิ้งลงในทะเลมหาสมุทรนั้น พระพุทธเจ้าว่า อันนี้ยังง่ายกว่าการเกิดมาเป็นคนเสียอีก ยากขนาดไหนคิดตามดูได้

ขณะนี้เราเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าแก้ไขตัวเองให้รอดพ้นจากอวิชชาไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้เกิดมาเป็นคนอีกครั้ง น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นคนชาตินี้ ขาดสติปัญญา จึงไปหลงอวิชชา หรือความพอใจ ไม่พอใจ ไม่สามารถพาตัวเองกลับมาหาตัวเองจริง ๆ ได้ จึงไม่มีโอกาสจะได้แก้ไขตนเองไปหาสุขถาวรได้ มัวไปหลงมัวเมาสุขชั่วคราว ทำให้ตัวเองมืดบอดทั้งตานอกและตาใน ไม่มีแสงไฟแสงดวงดาว แสงดวงอาทิตย์ ส่องไปถึงความมืดบอดของอวิชชา ที่ปิดบังตานอก ตาในของเรา มีอยู่แสงเดียวเท่านั้นที่จะส่องไปถึงได้ แสงนั้นคือแสงธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เท่านั้น

สรุป การพัฒนาแปลงร่างของอวิชชา ไปเป็นรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งแต่ละอัน รู้เห็นได้ยาก เพราะมันแฝงอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของคนเราทุกคน ให้คนเราเอาไปทำซ้ำตลอดเวลา จนกลายเป็นความเคยชิน หรือพฤติกรรมดังนี้

อวิชชา >>> โลภะ โทสะ โมหะ >>> ความพอใจไม่พอใจ >>> ความรู้สึกนึกคิด >>> ความไม่รู้ >>> ชื่อสิ่งของบุคคล >>> ตัวหนังสือ >>> ความยึดมั่นถือมั่น >>> ตัวกูของกู >>> อวิชชาหรือความไม่รู้ >>> เป็นเหตุปัจจัยให้คนเราเวียนว่ายตายเกิดหาที่สิ้นสุดไม่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมาเพราะอวิชชา อวิชชาเป็นเหตุปัจจัยให้คนเราเกิดมา ถ้าดับอวิชชาไม่ได้ ก็ดับการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้ จะดับอวิชชาได้ ต้องเอาความจริงคือ กฎธรรมชาติ ๒ กฎ หรือไม่เที่ยงเกิดดับมาทำซ้ำ จนเป็นความเคยชิน หรือพฤติกรรมเท่านั้น

ขณะนี้เราจะเห็นว่า วิถีชีวิตของคนเรา เป็นวิถีชีวิตที่ทำซ้ำ แต่คนเราตามวิถีชีวิต หรือการดำเนินชีวิตของตัวเองไม่ทัน จึงมองไม่เห็น จึงไม่รู้ว่าตัวเองทำซ้ำตลอดเวลา และก็ไม่รู้ด้วยว่า เอาอะไรไปทำซ้ำ ดีหรือไม่ดี บุญหรือบาป เพราะคนเราไม่มีโอกาสอธิบายการดำเนินชีวิตของตนเอง ว่าอะไรผิดถูก บุญบาปอย่างไร ขณะที่ทำอยู่ เพราะพฤติกรรมของการทำซ้ำของความไม่รู้ ไม่เปิดโอกาสให้คนเราคิดก่อนทำได้เลย แต่ละวันคนเราทำอะไรไปบ้าง ดี ชั่ว บุญ บาปอย่างไร เราไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย คนเราจึงไม่มีโอกาสเลือกสิ่งที่ดี ๆ มีคุณค่าให้กับตัวเรา ทุกคนต้องการสิ่งดี ๆ ให้กับตนเองทั้งนั้น แต่เลือกไม่ได้ เมื่อเลือกสิ่งดี ๆ ไม่ได้ แต่ชีวิตคนเราต้องได้อะไรสักอย่างให้กับตนเอง คนเราก็เลือกเอาสิ่งไม่ดี สิ่งที่สร้างทุกข์ให้กับตนเอง เรียกว่าอวิชชา มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นว่า ชีวิตคือการศึกษาเรียนรู้ ถ้าเราไม่มีโอกาสศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของตนเองอย่างนี้แล้ว เราจะไม่มีโอกาสรู้จักตัวเราเองได้เลยว่า ตัวเราคืออวิชชา

คนเราทุกคนเกิดมาเพื่อจะมาแก้ปัญหาให้กับตัวเอง แต่ไม่มีปัญญา เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตโดยการศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของตัวเอง และโลกที่เราไปเกี่ยวข้อง จึงไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ได้เกิดมาสร้างปัญหา คนเราจึงไม่รู้ว่าอะไรสร้างปัญหา หรือแก้ปัญหา เพราะเราไม่มีปัญญาของพระพุทธเจ้า เป็นข้อมูลในการดำเนินชีวิต มีแต่ข้อมูลของมาร หรืออวิชชา เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา คนเราจึงแก้จากที่ผิดอีกทาง ไปสู่ที่ผิดอีกทางหนึ่งอย่างนี้ตลอดเวลา เมื่อเป็นอย่างนี้เราจะทำอย่างไร เรื่องชีวิตของคนเราเป็นเรื่องกุศลกรรม และอกุศลกรรมเป็นผู้ลิขิต

อวิชชา (๗) โหดร้ายต่อตัวเอง

อวิชชา (๘) ทางสายเอก

วิบากกรรมเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy