สาเหตุจลาจลในเมืองลพะ ในปี พ.ศ.๑๑๗๖ และการอพยพของพลเมือง
สาเหตุหลักใหญ่เริ่มมาตั้งแต่โบราณ คือ ผู้นำที่เป็นช่างใหญ่ ๔ เหล่าคือ
....ช่างตระกูลศิลปะเชียงแสน
....ช่างตระกูลศิลปะละโว้-อโยธยา
....ช่างตระกูลศิลปะสุโขทัย
....และช่างตระกูลศิลปะทวารวดี-อู่ทอง
ซึ่งเรียกตามชื่อสกุลช่างปัจจุบัน ความจริงช่างเหล่านี้ถ่ายทอดแบบอย่างมาจากศิลปะอินเดียคุปตะทั้งนั้น แต่ละตระกูลช่างมีความชำนาญและพัฒนาฝีมือขึ้นมา เพื่อการแข่งขัน ถึงแม้จะมีการพยายามประสารศิลปะออกมาแบบกลาง ๆ ก็ไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายใด เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็ถือว่าของตนดีกว่า
อีกสาเหตุหนึ่ง คือ พระเจ้าสันตระไม่ได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมมัวเมาแต่เรื่องอิสตรี จนถึงกับลืมวันสำคัญที่จะต้องทำพิธีเฉลิมฉลอง และสร้างพระ เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาที่เคยปฏิบัติมาในอดีต คือ วันเดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ พ.ศ.๙๗๖ ในสมัยพระยาตะกะ วันเดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ พ.ศ.๑๐๗๖ ในสมัยพระยาถะระ และในสมัยของพระองค์เอง คือวันเดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ พ.ศ.๑๑๗๖ พระองค์ไม่ได้จัดให้มีงานขึ้นจนเวลาล่วงเลยไปถึง ๒ เดือนเศษ จึงได้มีการจัดงานขึ้น เมื่อวันเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๑๑๗๖ และในขณะจัดงานอยู่นั้นเอง ผู้นำซึ่งประกอบด้วยเสนาอำมาตย์และหัวหน้าช่างทั้ง ๔ เหล่า ต่างก็พาสมัครพรรคพวกเข้ามารบราฆ่าฟันกัน จนพระเจ้าสันตระและพระมเหสีถูกปลงพระชนม์ เสนาอำมาตย์และตัวผู้นำเองต่างก็ประสบเคราะห์กรรม ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น ช่างฝีมือที่เหลืออยู่ต่างก็ขนย้ายเอาศิลปะวัตถุของตนเองหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
....ช่างตระกูลศิลปะเชียงแสน ก็หนีไปอยู่เชียงแสน
....ช่างตระกูลละโว้-อโยธยา ก็หนีไปอยู่ลพบุรี-อโยธยา
....ช่างตระกูลศิลปะสุโขทัย ก็พากันหนีไปสุโขทัย
....ช่างตระกูลศิลปะทวารวดี-อู่ทอง ก็พากันหนีไปอยู่สุพรรณบุรี นครชัยศรี
การแตกของเมืองลพะครั้งนี้ทำให้ภาษาโดยเฉพาะตัวอักษรและศิลปะวัตถุที่ชาวเมืองลพะ รับถ่ายทอดมาจากชาวอินเดียคุปตะไปเกิดใหม่ยังจุดที่เราเรียกชื่อในปัจจุบัน ในภาคเหนือของไทยในปัจจุบันก็รับเอาภาษาและวัฒนธรรมเชียงแสน จากเมืองลพะไปใช้ และเนื่องจากเป็นคนไต (ไทย) ด้วยกัน จึงรักษาเค้าโครงของตัวอักษรได้ค่อนข้างดี และพัฒนาต่อมา เมื่อหมดยุคหริภุญชัยแล้วกลายเป็นภาษาลานนา สำหรับชาวไทยขอมที่อยู่ลพบุรี-อโยธยาก็รับเอาภาษาและวัฒนธรรม ละโว้-อโยธยา ของชาวลพะไปใช้และพัฒนากลายเป็นอักษร และศิลปะขอมในที่สุด สำหรับชาวไทยสุโขทัย ที่เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ก็รับเอาภาษาและวัฒนธรรมสุโขทัยของชาวลพะ ไปใช้และพัฒนากลายมาเป็นภาษาอักษร และศิลปะสุโขทัยในที่สุด สำหรับชาวไทยมอญที่อยู่ทางใต้ลงไป ก็รับเอาภาษาและวัฒนธรรม ทวารวดี-อู่ทองจากชาวลพะ และพัฒนากลายมาเป็นอักษรมอญ และศิลปะทวารวดีและศิลปะอู่ทองในที่สุด สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะชาวลพะมีภาษาและวัฒนธรรมสูงกว่าเมื่อไปรวมกลุ่มอื่นก็สามารถเข้าครอบครองทางวัฒนธรรมได้ แล้วจึงเข้าสู่การบริหารโดยไม่ต้องทำสงคราม เมืองลพะกลายเป็นเมืองร้าง สุเทวฤาษีจึงให้ศิษย์ทั้ง ๓ คน ไปขนเอาศิลปะวัตถุ พระเครื่องอินเดียและพระเครื่องที่สร้างในรัชกาลต่าง ๆ ตามที่จะหาได้ ไปก่อเป็นเจดีย์ ซึ่งเจดีย์นี้ได้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา
ซึ่งต่อมาเมื่อมีการอพยพคนไตยอง และไตลื้อ จากสิบสองปันนามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านหนองไซ ชาวบ้านได้สร้างวัดหนองไซขึ้นมา และมีการนำพระของเมืองลพะมาประดับไว้ตามมุข และเพดานของโบสถ์วิหาร ซึ่งพระเหล่านี้ บางครั้งหลุดตกลงมาและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก กลายเป็นของหายาก และมีของระบาดมากในปัจจุบัน สำหรับเจดีย์ที่สุเทวฤาษีสั่งให้สร้างไว้นั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการหมู่บ้านก็ได้มีการจ้างรถแทรกเตอร์มาเกลี่ยกลบ และขุดเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ พระเครื่องและของมีค่าที่อยู่ภายในจึงสูญหายไป