ความมืดมิดของความไม่รู้
ตอนนี้เราพอจะเข้าใจกรรมและผลของการกระทำพอสมควร เพราะมันเกิดกับตัวเราเองทั้งหมดตลอดเวลา แต่ถ้าเราไม่ศึกษาเรียนรู้ ก็รู้ไม่ได้เช่นกัน เพราะการกระทำหรือการดำเนินชีวิตของเรา ทำตามกรรมและวิบากตลอดเวลา นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกลายเป็นความเคยชินหรือความชำนาญของชีวิต คือทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยความไม่รู้ ถ้าเราหยุดความไม่รู้ของเราไม่ได้ คนเราก็จะไม่รู้อะไรไปตลอดกาล มีชีวิตอยู่บนความมืดมิด บนแสงสว่าง ความมืดมิดอันนี้ ไม่มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ พระจันทร์ หรือแสงไฟฟ้าทุกชนิด ไม่สามารถทะลุเข้าไปได้ นอกจากแสงสว่างของปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ของคนเรา แสงไฟ แสงอาทิตย์ไม่สามารถจะส่องเห็นได้ มีแต่แสงสว่างของปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงส่องมองเห็นได้
ความมืดมิดของความไม่รู้ ปิดบังอำพรางตัวเรา คนเราจึงพัฒนาความรู้ของเราไม่ได้ ความรู้ของคนเรามี ๔ รู้ คือ รู้จัก รู้จำ รู้จริง รู้แจ้ง เราจะเห็นว่าตัวของคนเราขณะนี้ไปได้แค่รู้จัก รู้จำเท่านั้น รู้จัก รู้จำเป็นความรู้เกิดจากพฤติกรรมของความไม่รู้ จึงไม่มีโอกาสพัฒนาความรู้ จากรู้จัก รู้จำ เป็นรู้จริง รู้แจ้งได้ ตลอดเวลาเราจะเห็นว่า ตัวของเราตกอยู่ในร่องเดิม คือร่องรู้จักและรู้จำเท่านั้น รู้ต่อไปข้างหน้าไม่ได้เลย คือรู้จริง รู้แจ้ง รู้จริง รู้อย่างไร พูดง่าย ๆ รู้จักธรรมชาติ รู้แจ้ง รู้อย่างไร รู้แจ้งคือกฎธรรมชาติ ๒ กฎที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้แล้วดับทุกข์ได้ รู้ธรรมชาติยังดับทุกข์ไม่ได้ ต้องรู้เหนือธรรมชาติ คือรู้กฎธรรมชาติ ๒ กฎ จึงจะอยู่เหนือธรรมชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้ารู้จริง แค่รู้ธรรมชาติ ไม่สามารถจะพาตนเองดับการเวียนว่ายตายเกิดตามธรรมชาติได้